วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Filled Under: , , ,

Islamic community history in Ayuthaya, Thailand.

Share
  

อิสลามในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย

 


ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรมุสลิมกระจายอยู่เกือบทุกพื้นที่ ทุกจังหวัดของประเทศไทย อาศัยอยู่ร่วมกับประชากรที่เป็นศาสนิกอื่น บางจังหวัดมีมุสลิมอาศัยอยู่เป็นประชากรส่วนใหญ่ บางจังหวัดมีมุสลิมเป็นประชากรส่วนน้อย จากข้อมูลข่าวสารในยุคโลกาภิวัฒน์ ทำให้เกิดความกังขาขึ้น ในประชากรของประเทศไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่มุสลิม สาเหตุจากข่าวสารต่าง ๆ ที่สื่อว่าประเทศที่มีประชากรเป็นมุสลิมมักมีปัญหาความไม่สงบภายในประเทศอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ได้เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม สาเหตุส่วนหนึ่งอาจมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความไม่เข้าใจบางอย่างไม่ชัดเจนต่อกัน

สำหรับในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นเขตภาคกลางของไทยถือได้ว่ามีประชากรมุลสิมค่อนข้างหนาแน่น และอาศัยอยี่ร่วมกับประชากรที่นับถือต่างศาสนามาตั้งแต่ก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้ว ในสมับนั้นมุสลิมอยู่ร่วมกันเป็นประชากรของสยามอย่างปกติสุข และมีบทบาทในการบริหารสยามประเทศมายาวนาน แต่ในระยะหลังปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากมุสลิมกับต่างศาสนิกมีความติด ความเข้าใจ และการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน บทความนี้จึงต้องการนำเสนอความเป็นตัวตนของมุสลิมให้ถูกต้องกับความเป็นจริงให้มากที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องอันจะทำให้ประชากรของไทยซึ่งมีหลากหลายศาสนาและความเชื่อ สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข อันเป็นแนวทางแห่งการสมานฉันท์ทางสังคมโดยเริ่มจากคำสั่งสอนที่สำคัญที่ทำให้มุสลิมมีแนวคิดเหมือนกันดังตัวอย่างจากวารสาร ที่นี่สำนักจุฬาราชมนตรี ปีที่ 2 ฉบับที่ 19 มกราคม 2549) มีข้อเขียนหน้าที่ 8 หัวข้อ พี่น้องร่วมคุณธรรม ความว่า
ศาสนาอิสลามได้กำหนดให้มุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องกัน และกำชับให้รักและสามัคคี และให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อมีข้อขัดแย้งก็ให้ประนีประนอมกัน
อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอ่าน ซูเราะห์ อัลฮุญฺรอต : 10 ความว่า “ แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้น สูเจ้าจงไกล่เกลี่ย (ให้เกิดความสามัคคี) ในระหว่างพี่น้องทั้งสองเพื่อเจ้าจะได้รับความเมตตาจากพระองค์” นอกจากนี้ มุสลิมต้องช่วยเหลือและคุ้มครองกัน มีฮะดิษจกอบีดัรดาอ์ (รฎ.) ท่านร่อซู้ล (ซล.) กล่าวว่า “มุอ์มินย่อมเป็นกระจกของมุอ์มิน และมุอ์มินเขาย่อมคุ้มครองทรัพย์สินให้กันและกัน และช่วยเหลือดูแลอยู่ข้างหลังเพื่อนมุสลิม (เมื่อเพื่อนเขาไม่อยู่)” รายงานโดย บุคอรี
 
หะดีษได้กล่าวว่า “มุสลิมเปรียบเสมือนเรือนร่างเดียวกัน เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดเจ็บป่วย ส่วนอื่นก็จะเจ็บป่วยไปด้วย” จากอัลกุรอ่านและอัลหะดีษดังกล่าว จะพบว่า เมื่อมีปัญหาอะไรก็ตาม มุสลิมจะร่วมมือกันไม่จำกัดขอบเขตของเผ่าพันธุ์หรือเชื้อชาติ
สำหรับการเข้าใจอิสลามอย่างไม่ถูกต้องของต่างศาสนิกนั้น เป็นปัญหาหนึ่งที่มีโอกาสบานปลายได้ จากเหตุกรณ๊ตัวอย่างในหลาย ๆ กรณี ซึ่งเราจะขอนำเสนอในโอกาสต่อไป./

 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น